เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการคมนาคม
การเดินทางภายในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น จะมีหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น รถยนต์, รถไฟ, เครื่องบิน, รถแท็กซี่, รถบัส, รถไฟบนดินและรถไฟใต้ดิน, รถราง เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเดินทางไปที่ใด และเลือกที่จะใช้พาหนะแบบใดในการเดินทาง
เราลองมาดูกันนะครับว่าที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นอย่างไรบ้าง
การเดินทางโดยรถไฟ แอมแทรก (Amtrak) คือชื่อของรถไฟของอเมริกา ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศและมีการให้บริการมาเป็นเวลานาน โดยจะให้บริการรถไฟ 374 ขบวนต่อวัน มีสถานีปลายทางมากถึง 896 สถานี ใน 46 รัฐ รวมไปถึงอีก 3 จังหวัดในประเทศแคนาดา (ตัวเลขข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลง) และนับว่าการเดินทางโดยขบวนรถไฟเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยและสะดวกสบายอีกทางหนึ่ง อีกหนึ่งอย่างสำหรับการเดินทางโดยรถไฟก็คือ มักจะนิยมใช้การเดินทางชนิดนี้แบบข้ามเมืองหรือจะเรียกว่าจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง (City to City) ก็ว่าได้ การจองตั๋วรถไฟ สามารถทำได้ด้วยตัวท่านเอง โดยโทรจองกับเจ้าหน้าที่ หรือสามารถเข้าไปจองออนไลน์ได้ที่ www.amtrak.com ค่าตั๋วรถไฟสามารถตัดผ่านบัตรเครดิตของท่านได้ทันที เมื่อเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟแล้ว ลองมาดูกันนะครับว่ามีที่นั่งแบบไหนให้เราเลือกบ้าง.. สำหรับรถไฟ Amtrak นั้น มีที่นั่งให้เลือกหลากหลายประเภท คล้าย ๆ กับที่นั่งบนเครื่องบินเลยครับ
แบบแรกคือ Coach Class ที่นั่งแบบนี้ก็เปรียบได้กับที่นั่งแบบ Economy Class บนเครื่องบินเลยครับ ในแต่ละขบวนรถไฟ ก็จะมีที่นั่งให้คุณเลือกตามความพึงพอใจ แบบ Coach Class นี้ก็เหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางไม่ไกลมาก หรือ อาจจะเดินทางไกลแต่ต้องการที่จะประหยัดเงินไว้ทำอย่างอื่น ก็สามารถที่จะเลือกที่นั่งแบบนี้ได้นะครับ... ดูจากภาพประกอบแล้วที่นั่งก็ไม่ได้คับแคบนะครับ อเมริกันที่ตัวสูงใหญ่กว่าเอเชียบ้านเรายังนั่งแบบสบาย ๆ เลย แถมยังมีพื้นที่สำหรับเหยียดขาได้อีกด้วย
แบบที่สองคือ Business Class ที่นั่งแบบนี้ก็ตามชื่อเลยครับ ที่นั่งก็จะมีความกว้างและใหญ่กว่าที่นั่ง Coach Class มีโต๊ะกลางให้บางที่นั่ง สำหรับโต๊ะไหนที่ไม่มีโต๊ะกลาง ก็จะมีเป็นโต๊ะแบบพับเก็บได้ที่ติดกับพนักพิงด้านหน้าให้แทน Layout ของที่นั่ง บางขบวนก็จะเป็นแบบ 2-2 บางขบวนก็จะเป็นแบบ 1-2 และที่นั่งแบบ Business Class นี้จะมีให้บริการเฉพาะในบางเส้นทางเท่านั้น ไม่ได้มีทุกขบวน โดยเฉพาะเส้นทางที่วิ่งในระยะไกล ๆ แบบข้ามภูมิภาคนั่นเอง และอีกหนึ่งความต่างก็คือ ที่นั่งแบบนี้จะมีบริการเครื่องดื่มให้ในระหว่างการเดินทาง แต่เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์นะครับ ไม่ต้องคาดหวังว่าท่านจะได้ดื่มเบียร์แล้วเมาหลับในระหว่างการเดินทางเด็ดขาด
แบบที่สามคือ First Class ที่นั่งชนิดนี้จะมีให้บริการเฉพาะในเส้นทาง Acela เท่านั้น เส้นทางนี้จะให้บริการจากบอสตัน และสิ้นสุดที่วอชิงตัน ดี.ซี. (Boston - New Haven - New York – Philadelphia - Wilmington – Washington) ใช้เวลาในการเดินทางจากต้นทางถึงปลายทางประมาณ 7 ชั่วโมง ความพิเศษของที่นั่งแบบนี้คือท่านสามารถที่จะเข้าไปใช้ Lounge ที่สถานีรถไฟได้ก่อนที่จะขึ้นไปบนขบวนรถไฟ, ท่านจะได้สิทธิขึ้นบนขบวนรถไฟก่อนผู้โดยสารชั้นอื่น ๆ (Priority Boarding), มีเครื่องดื่มให้บริการตลอดการเดินทาง, มีอาหารเช้า, กลางวัน หรือ เย็น ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ใช้บริการ
แบบที่สี่คือ Sleeping Car ที่นั่งแบบนี้เรียกว่าเป็นรถไฟตู้นอนเหมือนบ้านเราก็ได้ครับ จะมีให้บริการเฉพาะเส้นทางไกล ๆ เท่านั้น และรถไฟก็จะมีอยู่ 2 แบบ เรียกว่า Superliner รถไฟขบวนนี้จะมี 2 ชั้น ส่วนอีกแบบเรียกว่า Viewliner ขบวนนี้จะเป็นแบบชั้นเดียว ส่วนประเภทห้องพักจะแบ่งเป็นดังนี้
สำหรับขบวนรถไฟ Superliner มีห้องพักทั้งหมด 5 ประเภท คือ
- Roommette พักได้ 2 ท่าน ในห้องจะมีเพียงเตียงนอน 2 ชั้นจำนวน 2 เตียง ไม่มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำ
- Bedroom พักได้ 2 ท่าน ในห้องพักจะมีเตียง 2 ชั้นจำนวน 2 เตียง มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำ
- Bedroom Suite พักได้ 4 ท่าน ในห้องพักจะมีเตียง 2 ชั้นจำนวน 4 เตียง มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำ
- Family Bedroom พักได้ 4 ท่าน (ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2) ในห้องจะมีเตียงนอน 2 ชั้นจำนวน 4 เตียง ไม่มีห้องน้ำ
- Accessible Bedroom พักได้ 2 ท่าน ในห้องพักจะมีเตียง 2 ชั้นจำนวน 2 เตียง มีห้องน้ำ แต่ไม่มีห้องอาบน้ำ
สำหรับขบวนรถไฟ Viewliner มีห้องพักทั้งหมด 4 ประเภทเหมือนกับ Superliner เพียงแค่ตัดห้องประเภท Family Bedroom ออกไปเท่านั้นเอง ราคาห้องทุกประเภทจะรวมอาหารไว้แล้ว สิทธิพิเศษอีกอย่างสำหรับท่านที่เลือกที่นั่งแบบ Sleeping Car นั่นคือสามารถเข้าไปพักผ่อนที่ Lounge ที่สถานีก่อนที่จะเดินทางได้, ได้ขึ้นขบวนรถไฟก่อนผู้โดยสารประเภทอื่น (Priority Boarding) เหมือนกับที่นั่งแบบ First Class, มีน้ำดื่มในห้องพักบนรถไฟ และมีบริการปูที่นอนให้ท่านด้วย
สิ่งสุดท้ายสำหรับการเดินทางโดยรถไฟ Amtrak ที่จะมาเล่าให้ฟังก็คือ เรื่องของกระเป๋าสัมภาระที่ท่านนำติดตัวมาด้วย การเดินทางโดยรถไฟชนิดนี้ เค้าก็มีกฎเกณฑ์ในการนำสัมภาระติดตัวขึ้นรถไฟด้วยเหมือนกันนะครับ ไม่ใช่ว่าท่านอยากจะนำอะไรขึ้นไป ขนาดใหญ่เท่าไหร่ก็ได้ อันนี้คิดผิดนะครับ กระเป๋าสัมภาระที่สามารถนำติดตัวขึ้นไปบนรถไฟได้ จะมีดังนี้
- กระเป๋าหรือสัมภาระส่วนตัว (Personal Item) จำนวน 2 ใบต่อท่าน ขนาดกระเป๋าไม่เกิน 14 x 11 x 7 นิ้ว น้ำหนักไม่เกิน 12 กิโลกรัมต่อใบ โดยกระเป๋าจะต้องเก็บไว้บนที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ, ใต้เก้าอี้ หรือในที่ที่มีป้ายสำหรับวางกระเป๋าเดินทางและสัมภาระ (Designated Baggage Area) ห้ามวางไว้บนเก้าอี้
- กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ (Baggage) จำนวน 2 ใบต่อท่าน ขนาดกระเป๋าไม่เกิน 28 x 22 x 14 นิ้ว น้ำหนักไม่เกิน 23 กิโลกรัมต่อใบ
สำหรับกระเป๋าที่มีขนาดใหญ่กว่าที่กำหนด หรือมีน้ำหนักมากกว่าที่กำหนด จะต้องเสียค่าปรับเป็นเงิน $20 ต่อใบ และอนุญาตให้เกินได้แค่ 2 ใบต่อคนเท่านั้น
ผมมองว่ามันก็เป็นประสบการณ์ในการเดินทางอีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจ หากท่านมีเวลาในการท่องเที่ยวในอเมริกาเยอะพอสมควร ลองนั่งรถไฟ Amtrak ดูก็ดีนะครับ
การเดินทางโดยรถบัส เกรย์ฮาวด์ (Greyhound) เป็นบริษัทรถบัสยักษ์ใหญ่ของการขนส่งระหว่างรัฐต่าง ๆ ในอเมริกา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเดินทาง ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่าการเดินทางแบบนี้น่าจะเหมาะกับการเดินทางที่ไม่ไกลมาก เช่นใช้เวลาเดินทางซักประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง เช่นจากนิวยอร์กไปฟิลาเดลเฟีย หรือจากนิวยอร์กไปแอตแลนติก ซิตี้ เพราะถ้าใช้เวลาเดินทางมากกว่านี้ ผมมองว่ารถไฟ Amtrak น่าจะสบายกว่าและปลอดภัยกว่า แต่ก็อีกนั่นแหละครับ บางครั้งบางที ปลายทางที่เราจะไปรถบัสก็อาจจะสะดวกกว่าหรือใกล้กับจุดหมายปลายทางกว่าก็เป็นได้
ทุกที่นั่งบนรถบัสจะมีปลั๊กไฟสำหรับให้ผู้โดยสารชาร์ตแบตเตอร์รี่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของท่าน และยังมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตบนรถทุกคันอีกด้วย (แต่สัญญาณก็ไม่ได้เร็วปรื๊ดปร๊าดมากอย่างที่คิดนะครับ) ท่านสามารถหาข้อมูลเส้นทางเดินรถและซื้อตั๋วได้ที่ www.greyhound.com โดยเกรย์ฮาวด์มีตั๋ว International Ameripass ซึ่งเป็นตั๋วลดราคาสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการจะเดินทางไปหลายแห่งในช่วงเวลาหลายวัน ลองเข้าไปหาข้อมูลดูนะครับ เผื่อจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเดินทาง
การเช่ารถขับเอง ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว การเช่ารถขับในอเมริกานั้น ทำได้ง่ายและสะดวกมาก ตามสนามบินหรือสถานีรถไฟในเมืองใหญ่ ๆ มักจะมีบริษัทรถเช่าให้บริการท่านอยู่มากมาย บริษัทให้เช่ารถที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมกัน เช่น ALAMO, AVIS, BUDDGET, DOLLAR, HERTZ เป็นต้น ทั้งนี้ ก่อนที่ท่านจะไปเช่ารถขับเองนั้น ท่านจะต้องมี ใบขับขี่สากล, บัตรเครดิต และท่านจะต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไปถึงจะสามารถเช่ารถขับได้ ผมเองก็เคยเช่ารถขับในอเมริกา บอกเลยว่ามันสะดวกมากในการที่เราจะไปไหนมาไหน ค่าเช่ารถเองก็ไม่ได้สูงมาก (ค่าประกันต่าง ๆ กับค่าที่จอดรถบางทียังแพงกว่าค่าเช่ารถอีกครับ...บอกเลยจากใจ) อีก 1 ปัจจัยที่ทำให้ท่านอาจจะลังเลว่าจะเช่ารถขับเองดีหรือไม่ นั่นก็คือ ตำแหน่งของคนขับ บ้านเราพวงมาลัยจะอยู่ด้านขวาใช่มั๊ยครับ...แต่ที่อเมริกาพวงมาลัยจะอยู่ด้านซ้ายนะครับ ทุกอย่างจะกลับด้านกับที่เมืองไทยนะครับ ต้องระวังให้ดี อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการขับรถในอเมริกาคือ การเคารพกฎจราจร ที่อเมริกาถือเป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะครับ ป้ายจราจรบอกให้หยุดท่านก็ต้องหยุด บอกให้ขับไม่เกิน 50 ไมล์ ก็ต้องไม่เกินนะครับ ป้ายห้ามจอดตรงจุดไหน ก็ห้ามจอดตรงจุดนั้นโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นท่านจะโดนใบสั่ง ซึ่งผมโดนมาแล้วแบบจุก ๆ (กรณีที่โดนใบสั่ง ท่านสามารถนำใบสั่งกลับมาจ่ายทางเวปไซต์เองได้ครับ...เค้าอำนวยความสะดวกให้เราจริง ๆ) เอาไว้คราวหน้าผมจะเขียนเรื่องของการเช่ารถขับในอเมริกาแบบละเอียดกว่านี้ให้ทุกท่านได้อ่านกันอีกรอบนะครับ
การเดินทางโดยเครื่องบิน การเดินแบบนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดของคนอเมริกันครับ เหตุผลก็ง่าย ๆ เลยคือ สะดวก รวดเร็ว ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับการเดินทางโดยรถไฟ หรือรถบัส บางครั้งราคาแทบจะไม่แตกต่างกันเลย หรือบางครั้งราคาอาจจะถูกกว่าอีกด้วยถ้าเราจองล่วงหน้าเป็นเวลานาน ๆ สายการบินภายในประเทศของอเมริกาก็มีให้เลือกมากมาย เช่น American Airlines, United Airlines, Southwest Airlines, JetBlue, Alaskan Airlines เป็นต้น แต่ให้ท่านระวังเรื่องของกระเป๋าเดินทางด้วยนะครับ เพราะส่วนใหญ่สายการบินภายในประเทศของอเมริกาจะไม่รวมค่าน้ำหนักกระเป๋าที่จะต้องโหลดใต้ท้องเครื่องไว้กับราคาตั๋วโดยสาร หากท่านมีกระเป๋าที่จะต้องโหลด ท่านจะต้องเผื่อค่าน้ำหนักกระเป๋าไว้ด้วยนะครับ โดยกระเป๋าใบที่หนึ่ง ค่าโหลดกระเป๋า $30 ใบที่สอง ค่าโหลดกระเป๋า $40 โดยกระเป๋าจะต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 23 กิโลกรัมต่อใบ หากน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนด จะต้องเสียค่าน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม (ตรวจสอบค่าใช้จ่ายได้จากสายการบินที่ท่านเลือก) กระเป๋าที่ท่านจะถือขึ้นเครื่อง (carry on) น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัมต่อใบ และต้องมีขนาดไม่เกินกว่าที่สายการบินกำหนด แต่ผมมีสายการบินหนึ่งที่จะแนะนำให้ท่านได้ลองใช้บริการดูครับ นั่นคือ Southwest Airlines สายการบินนี้เป็นสายการบินเดียวในอเมริกา ที่รวมค่าโหลดกระเป๋าไว้แล้ว และให้มากถึงคนละ 2 ใบ น้ำหนักกระเป๋าให้ใบละ 23 กิโลกรัมอีกด้วย... ดีงามพระรามแปดมาก
การเดินทางโดยรถแท็กซี่ ที่อเมริกาส่วนใหญ่จะเรียกแท็กซี่ว่า CAB ซึ่งจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ ตัวรถจะมีสีเหลือง โดยเฉพาะในนิวยอร์ก (แมนฮัตตัน) ส่วนมากแท็กซี่จะเป็นสีเหลือง เนื่องจากปี 1967 ได้มีการออกกฎมาว่า แท็กซี่ในนิวยอร์ก (ที่เป็นทางการ) เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันจะต้องใช้สีเหลืองเท่านั้น และจะต้องเป็นสีเหลือง Dupont M6284 เท่านั้น แท็กซี่เหล่านี้จะถูกเรียกว่า “Medallion Taxi” แต่ก็ไม่แปลว่าจะไม่มีสีอื่นนะครับ เท่าที่เคยเห็น ก็จะมีแท็กซี่สีเขียว ที่เรียกว่า “Boro Taxi” จะมีความแตกต่างกันคือแท็กซี่สีเขียวจะรับเฉพาะผู้โดยสารที่อยู่นอกเมืองเท่านั้น ถ้าเป็นในเขตเมืองจะต้องโทรนัดหรือโทรจองล่วงหน้าเท่านั้น อัตราค่าโดยสารจะเริ่มที่ประมาณ $2.5 และจะขึ้นทีละ $0.5 ตามระยะทาง ตามเวลาและเวลาพิเศษบอกเลยว่าแพงกว่าแท็กซี่บ้านเรามาก นอกจากค่าโดยสารตามมิเตอร์ที่ขึ้นอยู่นั้น ค่าทิปถือเป็นสิ่งที่เราจะต้องให้กับคนขับรถด้วยเช่นกัน (ถ้าไม่ให้เค้าทวงนะครับ) อัตราค่าทิปนั้นขึ้นอยู่กับความพอใจของเราด้วยเหมือนกัน แต่เค้าก็มีขึ้นต่ำอยู่นะครับ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะราว ๆ 10 – 15% ของค่าโดยสาร แต่ถ้าเรานั่งไปไม่ไกลมาก เราอาจจะให้ทิปซัก 1 เหรียญก็ได้นะครับ ลองดูตามความเหมาะสมนะครับ
การเดินทางโดยรถไฟใต้ดิน (Subway) รถไฟใต้ดินถือเป็นการเดินทางที่ประชากรในแต่ละเมืองนิยมกันมาก เนื่องจากรถไฟใต้ดินจะมีเวลาเดินรถที่ชัดเจนอยู่แล้ว เราสามารถที่จะคาดการณ์ได้ว่าเราจะไปถึงกี่โมง จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง และอัตราค่าโดยสารก็ไม่สูงมาก ชนิดของบัตรโดยสารก็มีให้เลือกทั้งแบบเที่ยวเดียว (Single Ride) แบบไม่จำกัดเที่ยวภายใน 7 วัน แบบไม่จำกัดเที่ยวภายใน 30 วัน หรือจะเป็นบัตรแบบเติมเงินได้ก็มี ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ของท่านเลยครับ รถไฟใต้ดินของอเมริกาเป็นที่ขึ้นชื่ออยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือความสกปรกและความน่ากลัว บางสถานีผมบอกเลยว่าอย่าได้ลงไปเดินคนเดียวเด็ดขาด คนน่ากลัวไม่เท่าไหร่ บรรยากาศก็น่ากลัวไม่แพ้กันเลย แล้วยิ่งถ้าต้องเดินทางตอนกลางคืนคนเดียว ผมแนะนำว่าให้เลือกใช้การเดินทางอื่นน่าจะปลอดภัยกับชีวิตและทรัพย์สินของท่านมากกว่านะครับ อีกเรื่องที่ขึ้นชื่อของรถไฟใต้ดินในอเมริกาคือ เป็นระบบขนส่งที่มีความซับซ้อนมากที่สุด โดยเฉพาะรถไฟใต้ดินในมหานครนิวยอร์กนั้น แค่เห็นแผนที่เดินรถไฟแล้วก็มีความงงแล้วว่าจะนั่งสายไหนดี นั่งฝั่งไหนดี ลงฝั่งผิดชีวิตเปลี่ยนนะครับ เผื่อว่าจะมีคนไม่เชื่อผม เลยแนบแผนที่เส้นทางเดินรถของรถไฟใต้ดินในนิวยอร์กมาให้ดูกันด้วย แต่ถ้ามองไม่ชัด ตามไปโหลดได้ที่ https://new.mta.info/maps
คร่าว ๆ เกี่ยวกับการคมนาคมในอเมริกานะครับ ในเมืองใหญ่ ๆ จะมีการขนส่งหรือการคมนาคมตามที่ผมได้กล่าวมาแล้วข้างต้นให้ท่านได้ลองเลือกกันครับว่าจะใช้แบบไหนถึงจะเหมาะกับเรา